ไม่ได้ เนื่องจากไขมันที่ดูดออกมา คือไขมันที่อยู่ชั้นลึกกว่าเซลลูไลต์ แต่สามารถช่วยทำให้ผิวที่มีเซลลูไลต์ดูดีขึ้นได้
รอยแผลจะจางลงใน 3-6 เดือน โดยแพทย์จะทำการซ่อนรอยแผลให้อยู่ใต้ร่มผ้า ทำให้สังเกตได้ยาก และแผลมีขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร
สามารถทำได้ และไม่อันตราย เพราะที่โรงพยาบาล Wansiri เรามีทีมศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์ที่พร้อมช่วยดูแล
สามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องวางแผนก่อนการดูด ว่าต้องการนำมาใช้ปริมาณเท่าใด
สามารถทำได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่อยู่คงทนนัก
สามารถทำได้ แต่หลังจากการดูดไขมันครั้งแรก ร่างกายจะเกิดพังผืดซึ่งทำให้ดูดไขมันได้ยากขึ้น เสียเลือดมากขึ้น
จะเริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือนหลังการดูดไขมัน ส่วนช่วงแรกจะยังมีอาการบวมอยู่
ในคนไข้ที่ผิวหนังมีความยืดหยุ่นสูง จะไม่ค่อยมีปัญหา เนื่องจากผิวหนังสามารถะยืดหดได้ประมาณ 30% ส่วนในคนไข้ที่มีผิวหนังแตกลาย อาจต้องทำการรักษาเพิ่ม คือตัดผิวหนังส่วนเกินออกไปพร้อมกันในทีเดียว ผู้ที่มีปัญหาควรเข้ามาปรึกษาแพทย์ก่อน
จะเริ่มเห็นผลในช่วง 1 เดือนหลังการผ่าตัด ส่วนช่วงแรกจะยังมีอาการบวมอยู่
รอยแผลจะจางลงใน 3-6 เดือน โดยแพทย์จะทำการซ่อนรอยแผลไว้ตามแนวร่องกล้ามเนื้อ ทำให้สังเกตได้ยาก และแผลมีขนาดเล็กเพียง 2-3 มิลลิเมตร
สามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องวางแผนก่อนการดูด ว่าต้องการนำมาใช้ปริมาณเท่าใด
หายไป เพราะลอนที่ได้จะไม่แข็งแรงเหมือนกล้ามเนื้อจริง แต่เป็นไขมันนิ่มๆ
สามารถทำได้ แต่ผลลัพธ์อาจไม่อยู่คงทนนัก
สามารถทำได้ แต่หลังจากการดูดไขมันครั้งแรก ร่างกายจะเกิดพังผืดซึ่งทำให้ดูดไขมันได้ยากขึ้น เสียเลือดมากขึ้น
ไม่แนะนำ ควรลดน้ำหนักให้ร่างกายเข้าเกณฑ์มาก่อน หรืออาจทำศัลยกรรมดูดไขมันแทน
หากมองด้วยตาเปล่า หรือเมื่อถ่ายภาพออกมา จะมีความใกล้เคียงธรรมชาติมาก แต่เมื่อสัมผัส เนื่องจากเป็นไขมัน จึงมีความนิ่ม ไม่แข็งแรงเหมือนกล้ามเนื้อจริง
รอยแผลจะจางลงใน 3-6 เดือน
มีอาการชาชั่วคราว ซึ่งจะหายไปเองภายใน 3-6 เดือนหลังการผ่าตัด
ช่วยได้บางส่วน โดยการตัดผิวหนังส่วนนั้นออกไป แต่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการแตกลาย
เป็นการแก้ไขปัญหาคนละจุด เปรียบเทียบกันไม่ได้ การยกกระชับสัดส่วนเป็นการแก้ไขความหย่อนยาน ส่วนการดูดไขมันเป็นการแก้ไขปริมาณและความหนาของไขมัน
สามารถทำได้ ไม่มีปัญหา
มีโอกาส เนื่องจากผิวหนังจะหย่อนคล้อยไปตามวัย แต่อาจใช้เวลานาน 10 ปีขึ้นไป
เมื่อพบปัญหา สามารถทำได้เลย
รอยแผลจะจางลงใน 3-6 เดือน โดยแพทย์จะทำการซ่อนรอยแผลไว้ตามแนวขอบกางเกงชั้นใน ทำให้สังเกตได้ยาก
ช่วยได้บางส่วน โดยการตัดผิวหนังส่วนนั้นออกไป แต่ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการแตกลาย เช่น ถ้าแตกลายบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง จะสามารถตัดออกไปได้
เกิดปัญหาแน่นอน เพราะการตั้งครรภ์จะทำให้ผนังหน้าท้องที่เย็บไว้ฉีกได้
ไม่ค่อยมีกรณีนี้ เนื่องจากผิวหนังหน้าท้องจะไม่ค่อยกลับมาหย่อนยานอีกหลังผ่าตัด แม้จะน้ำหนักลดลงอีกก็ตาม
ส่วนใหญ่จะไม่เห็นรอยแผล เพราะแพทย์จะทำการออกแบบรอยผ่าตัดโดยคำนึงถึงรอยบิกินี่ไว้แต่แรกอยู่แล้ว
เป็นการแก้ไขปัญหาคนละจุด เปรียบเทียบกันไม่ได้ การศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้องเป็นการแก้ไขความหย่อนยาน ส่วนการดูดไขมันเป็นการแก้ไขปริมาณและความหนาของไขมัน แต่สามารถทำทั้งสองอย่างร่วมกันได้
รอยแผลจะจางลงใน 3-6 เดือน โดยแพทย์จะทำการซ่อนรอยแผลไว้บริเวณร่องก้น ทำให้สังเกตได้ยาก
ถ้าไม่มีปัญหา ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอีกเลยตลอดชีวิต
มีโอกาสน้อยมาก คือจากการได้รับบาดเจ็บจากของมีคม เช่น ถูกแทง
การหย่อนคล้อยเป็นเรื่องปกติตามวัยที่เพิ่มขึ้น แต่สามารถทำการยกกระชับได้
สามารถทำได้
สามารถทำได้
มีโอกาส เนื่องจากอาจมีการสลายตัวของไขมันที่ไม่เท่ากัน แต่ขนาดจะต่างกันน้อยมากจนดูไม่ออก อย่างไรก็ตาม สะโพกตามปกติของทุกคนก็มีขนาดไม่เท่ากันอยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับไขมันที่ฉีดเข้าไปว่าคงอยู่เท่าไหร่ และสลายไปเท่าไหร่ แต่การดูดไขมันเพื่อฉีดเพิ่ม จำเป็นจะต้องเปลี่ยนตำแหน่ง เนื่องจากตำแหน่งเดิมจะดูดยากกว่าเดิม
ส่วนใหญ่แพทย์จะดูดไขมันจากบริเวณเอวด้านหลัง เพื่อให้ดูคอดลงส่งเสริมกับสะโพก แต่หากไขมันบริเวณนั้นไม่พอ อาจดูดบริเวณหน้าท้องเพิ่ม
ไม่แนะนำ เพราะการดูดไขมัน จำเป็นต้องดูดออกมาปริมาณมากกว่าที่นำมาใช้ถึง 200% เพราะต้องนำไปปั่นแยก จึงควรมีไขมันให้ดูดออกมาอย่างน้อย 2000 ซีซี
หายไป
ไม่สามารถเก็บไว้ได้ ไขมันที่นำมาฉีดเสริม จะต้องเป็นไขมันที่สดใหม่